ความจริงที่ผู้ใช้รถหลายท่านไม่เคยรู้ แม้จะใช้รถผ่านมากันเป็น 10 หรือ 20 ปี เกิดการฟ้องร้องและคดีความกับปั๊มน้ำมันที่ทุกคน “คิด” ว่าไม่ได้มาตรฐาน
“ไอ้ปั้มน้ำมันเลว เอาน้ำผสมน้ำมันมาขายมาเติมให้รถ” “ปั๊มปลอมปั้มโกงแบบนี้ อย่าไปเติมมัน”
ทั้งที่ความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้น ปัญหาทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้และบริบทของพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้ ดร.อ๋อ หมอรถ จะมาตีแผ่ความจริงว่า “น้ำในถังน้ำมันมาจากไหน”
ก่อนจะลุยกัน
ผมขอเท้าความก่อนว่า ณ ปัจจุบัน น้ำมันเบนซินและดีเซล 100% ถูกยกเลิกการจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2556 จากประกาศนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ ในประเทศไทยต้องใช้พลังงานทดแทนคือ Gasohol 91 , 95, E20, E85 และ Biodiesel B7 B10 B20 B100 เกือบทั้งหมด เหลือปั้มที่ยังมีจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลแท้เพียงน้อยนิด
แก๊สโซฮอล์
ในส่วนของแก๊สโซฮอล์จะเห็นได้ว่าทุกชนิดในตลาดตอนนี้ มีส่วนผสมของเอทานอลหมด ซึ่งเอทานอลนี้เองที่เป็นสาเหตุของ “น้ำในถังน้ำมัน” เนื่องจากว่า เอทานอลมีส่วนผสมของน้ำ 0.07% ต่อน้ำหนัก ดูดซับความชื้นได้ดี รวมตัวกับน้ำได้ดีมากและยังมีฤทธิ์กัดกร่อน
อีกทั้งภูมิอากาศของประเทศไทยซึ่งเป็นเขตร้อนชื้น ซึ่งในเวลากลางคืนพื้นดินจะคายความร้อนทำให้เกิดไอน้ำลอยอยู่บริเวณพื้นดิน และไอน้ำที่ลอยอยู่นี้จะไปเกาะที่ถังน้ำมันรถซึ่งอยู่ใกล้กับพื้นดิน ทำให้เกิดการควบแน่นเป็นน้ำขึ้นในถังน้ำมัน ถ้าไม่เห็นภาพให้ลองนึกว่า แก้วน้ำเย็น ถ้าเราตั้งทิ้งไว้นานจะมีหยดน้ำเกิดขึ้นที่ผิวนอกแก้ว
เมื่อน้ำและไขมันเกิดขึ้นบวกกับขาดการดูแล สิ่งที่จะตามมาคือ สนิม เชื้อรา แบคทีเรีย คราบตะกรัน และเวลาเครื่องยนต์ทำงานจะดูดพวกนี้เข้าไปพร้อมกับน้ำมัน ทำให้ระบบเครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์ เกิดการอุดตันตามกรองเชื้อเพลิง ท่อทางเดินน้ำมัน ระบบหัวฉีด จนเกิดอาการเครื่องกระตุก สะอึก สะดุด เร่งไม่ขึ้น จนถ้าหนักจริงๆ อาจถึงขั้นเครื่องดับกลางถนนได้
ไบโอดีเซลก็เช่นกัน
ไบโอดีเซลได้สกัดจากปาล์มน้ำมันก่อนจะนำมาผสมกับน้ำมันดีเซล ซึ่งมีมีคุณสมบัติที่เกิดน้ำ และเป็นไขมันได้ง่าย
ไขมันที่เกิดขึ้นจากปาล์มน้ำมันจะมี 2 ประเภทคือ ไขมันอิ่มตัว และไขมันไม่อิ่มตัว
จากภาพนี้คือสภาพของน้ำมันไบโอดีเซลที่ถูกเติมลงในถังน้ำมันรถของท่าน จะกลายเป็น 4 ชั้น
- ไขมันไม่อิ่มตัวจะลอยอยู่ด้านบน(สีขาว)
- น้ำมันดีเซล
- น้ำ
- ไขมันอิ่มตัวจะตกเป็นตะกอนอยู่ที่ก้นถังน้ำมัน
*จากภาพผมได้เขย่าไปเล็กน้อยทำให้รวมกับน้ำมันซึ่งคือสภาพจริงของรถยนต์เวลาใช้งาน
และเมื่อเครื่องยนต์ทำงานปั้มติ๊กก็จะดูดไขมันนี้พร้อมกับน้ำมันเข้าไปสู่ระบบและท่อเชื้อเพลิง ไขมันเหล่านี้ก็ไปจับตามท่อ หัวฉีด ลูกสูบ ทำให้เกิดควันดำหรือกลายเป็นการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
นั่นเอง
แต่ปัญหาใหญ่กว่าที่จะตามมาคือเมื่อจอดรถทิ้งไว้จนเครื่องเย็น ไขมันเหล่านี้จะแข็งตัวกลายสภาพเป็นก้อนคงค้างอยู่ในระบบเชื้อเพลิง เมื่อเราสตาร์ทรถอีกครั้ง คราวนี้แหละคุณจะพบว่ารถคุณสตาร์ทไม่ติด หรือติดแต่ออกวิ่งไปแล้วแต่กระตุก สะดุด สะอึก เร่งดับ เบาดับ ถอยดับ
สรุปผลกระทบหลักๆ จากพลังงานทดแทน
1.เกิดน้ำ น้ำมัน สนิม คราบตะกรัน เชื้อรา แบคทีเรีย จำนวนมากในระบบเชื้อเพลิง ทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์ สะดุดสะอึกและทำให้เครื่องยนต์ปล่อยสารคาร์บอนิค ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
2.สนิมและคราบตะกรันทำให้ไส้กรองน้ำมันและปั๊มอิเล็กทรอนิกส์อุดตันได้ง่าย
3.เกิดการกัดกร่อนขึ้นกับชื้นส่วนที่สัมผัสกับเชื้อเพลิงโดยตรงทุกชิ้น เช่น ถังน้ำมัน สายส่งน้ำมัน ท่อยาง พลาสติก เป็นต้น ทำให้บวม เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ หรือเกิดการรั่ว
4.การไม่ดูแล ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ
อ้าว... แล้วเราจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการใช้พลังงานทดแทนได้ไหม
ในขณะนี้ที่เรายังหาพลังงานทดแทนอื่นไม่ได้ เราก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดจากการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลได้ ดังนั้นเราก็ต้องหาทางแก้ปัญหานี้ เพื่อให้รถของเราสามารถใช้ได้และวิ่งอย่างเต็มสมรรถนะ
เครื่องเร่งไม่ออก สะดุด สะอึก อุดตัน ...ก็ใช้น้ำยาล้างหัวฉีดสิ ใช่ครับ เมื่อมีปัญหาก็ต้องหาทางแก้ การเติมน้ำยาล้างหัวฉีด เพื่อเพิ่มการหล่อลื่นเครื่องยนต์และเผาไหม้ จนคุณอาจจะรู้สึกว่า “โห...เครื่องแรง อัตราเร่งดีขึ้น สุดยอดไปเลย” แต่...!!
น้ำยาล้างหัวฉีดขวดเล็กราคาถูก เกือบทุกตัวในตลาดปัจจุบัน คือ “แอลกอฮอล์” หรือ "หัวเชื้อน้ำมัน" ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนต่อชิ้นส่วนในระบบเชื้อเพลิง หากเป็นสัดส่วนราคาที่สูงขึ้นมาหน่อยอาจจะเป็น "น้ำยาล้างหัวฉีด"
แต่ทั้งนี้อย่าลืมดูก่อนว่าเป็นสำหรับ แก๊สโซลีน (Gasoline) หรือ แก๊สโซฮอล์ (Gasohol) หากเป็น แก๊สโซลีน จะสามารถล้างคราบเขม่าได้เพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถขจัดน้ำ หรือตะกอนที่เกิดจากการใช้ แก๊สโซฮอล์ ได้ นี่คือจุดสำคัญที่ผู้ใช้รถมักไม่ได้สังเกต ทำให้เสียเงินไปแต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
ล้างหัวฉีดแล้ว....จบเลยหรือเปล่า?
ไม่ครับ....ยังไม่จบ เพราะน้ำ สนิม เชื้อรา แบคทีเรีย คราบตะกรันไม่ได้ทุกกำจัดไปด้วย มันยังคงอยู่ในระบบเชื้อเพลิง นานวันเข้าจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการอุดตันชิ้นส่วน และกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องทำการถอดล้างทั้งระบบเชื้อเพลิงซึ่งมีค่าใช้จ่ายถึง 5 หลัก
หรือทางรอดอีกทางคือคุณต้องหาผลิตภัณฑ์ที่เป็น "Biocide" ช่วยกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย สนิม คราบตะกรัน เติมเข้าไปในถังน้ำมัน
เมื่อบริบทของพลังงานเปลี่ยนไป...การดูแลรักษาก็จะต้องเปลี่ยนตาม
ปัจจุบันความรู้เรื่องการดูแลรักษารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก น้อยคนที่รู้แม้แต่ช่างยนต์บางคนก็ยังไม่รู้วิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง และเมื่อเป็นเช่นนั้นเหล่าผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์และมอบการดูแลรถยนต์ให้เป็นหน้าที่ของช่าง แล้วรถยนต์ของผู้บริโภคจะเป็นอย่างไรนั้น...
คำตอบเดียวเลยคือ
“...นับถอยหลังรอวันพัง...”
ซึ่งการดูแลรักษารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนสามารถทำได้ดังนี้ครับ
1.ชิ้นส่วนของระบบเชื้อเพลิงต้องสามารถทนทานต่อการกัดกร่อนของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลได้อย่างดี เช่น ท่อทางเดินน้ำมัน ท่อยาง ถังน้ำมัน ปั๊มเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น สำหรับรถรุ่นใหม่ๆ จะรองรับอยู่แล้ว หากเป็นรถเก่าต้องเข้าศูนย์เพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วน
2.ปรับแต่งกล่อง ECU ให้สามารถประมวลค่าเปลี่ยนแปลงของเชื้อเพลิงได้
3.หมั่นล้างถังเชื้อเพลิงทุกๆ 6 เดือน โดยการถอดออกมาล้างค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป เสียเวลา 4-5 ชั่วโมง เสียน้ำมันค้างถังทั้งหมด ทำความสะอาดได้เฉพาะถังเชื้อเพลิงเท่านั้น และหากประกอบคืนไม่สมบูรณ์จะทำให้เครื่องสั่นหรือน้ำมันรั่วได้
4.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลรักษารถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนโดยตรง ซึ่งมีราคาถูกกว่าการถอดถังน้ำมันมาล้างถึง 4 เท่า ไม่ต้องถอดถัง ไม่เสียน้ำมันค้างถัง และทำความสะอาดได้ทั้งระบบ
สุดท้ายนี้ แม้บทความจะยาวไปเสียหน่อย แต่ขอขอบคุณที่อ่านกันจนจบนะครับ ผมอยากส่งมอบความรู้ในเรื่องของพลังงานทดแทนและการดูแลแก่สังคมของผู้ใช้รถ ให้มีความเข้าใจและสามารถดูแลเบื้องต้นกับรถของท่านได้ เพื่อเป็นการประหยัดเงิน ประหยัดเวลา ให้ท่านสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย มีความสุขกับรถคันโปรดและครอบครัวของท่านครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงขายของ
ถ้าคุณกำลังหาน้ำยาล้างหัวฉีดที่ไม่ใช่ “หัวเชื้อน้ำมัน”
สามารถ "ล้างได้ทั้งระบบเชื้อเพลิง" และเป็น “Biocide” นี่... คือสิ่งที่คุณตามหาอยู่
ผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวที่สามารถดูแลรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทนได้โดยตรง
“Fortron Gasohol Plus Treatment” สำหรับรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ 91 95 E20 และ E85 “Fortron Biodiesel Plus Treatment” สำหรับรถยนต์ที่ใช้ไบโอดีเซล B7 B10 B20 B100
ใช้ง่ายมากๆ แค่เติมลงในถังน้ำมัน จากนั้นเติมน้ำมันให้เติมถัง Fortron จะเข้าไปล้างทั้งระบบให้คุณ จัดการหมดทั้งน้ำ ไขมัน สนิม ตะกรัน และไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนต่อชิ้นส่วนระบบเชื้อเพลิง ลูกยางต่างๆ แน่นอน ปลอดภัยหายห่วง
อัตราส่วน 1 ขวดต่อการใช้ 1 ครั้ง
ประสิทธิภาพใช้งานได้ 3 เดือนหรือ 5,000 กม.
Fortron นำเข้าจากออสเตรเลีย และเป็นงานวิจัยร่วมของออสเตรเลียร่วมกับไทยกว่า 8 ปีเพื่อรถยนต์พลังงานที่ใช้ทดแทนโดยตรง
Fortron มีจำหน่ายในไทยมาแล้วกว่า 20 ปี ผ่านศูนย์บริการรถยนต์ชั้นนำทั่วประเทศ
หรือศูนย์บริการนอกเช่น Cockpit, Tyreplus
รองรับด้วยสามารถ TUV NORD มาตรฐานยานยนต์ระดับโลกและ ISO BSI รองรับคุณภาพสินค้า
สนใจสอบถามสาขาใกล้บ้านท่านได้ที่
Facebook : fortrongroup
Line@ : @fortron
หรือช่องทางสั่งซื้อออนไลน์
Facebook : fortrongroup
Lazada : ร้านค้าทางการของ Fortron บน Lazada
Shopee : ร้านค้าทางการของ Fortron บน Shopee
แล้วผู้ใช้รถต้องทำอย่างไรต่อ เช่น ไปล้างกรอง หรือ อะไร อย่างไรต่อไป?